รีวิววิธีคุมกำเนิด สำหรับผู้หญิงทุกคน
วิธีการคุมกำเนิดใดที่บอกว่า “ดีที่สุด” เพราะสำหรับผู้หญิงทุกคน วิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะกับคุณและคู่ของคุณนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก่อนเลือกวิธีคุมกำเนิดควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ก็ดี หรือเราใช้วิธีทางการแพทย์ก็ดี แน่นอนว่าคุณสามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณได้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
1 คุมกำเนิดโดยการทำหมันถาวร
เป็นการมัดและตัดท่อนำไข่โดยท่อนำไข่จะถูกปิดกั้น จึงทำให้ไข่และอสุจิไม่สามารถเจอกันได้ในท่อนำไข่ สิ่งนี้จะหยุดคุณจากการตั้งครรภ์ ซึ่งวิธีนี้จะมีโอกาสในการตั้งครรภ์จากการนับจำนวนการตั้งครรภ์ของผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีการทำหมันถาวร ซึ่งมีน้อยกว่า 1 คนเท่านั้นที่อาจตั้งครรภ์ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงบางประการ เช่น ความเจ็บปวด เลือดออก มีการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ หลังการผ่าตัด
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ชายที่แน่ใจว่าไม่ต้องการมีลูกหรือไม่ต้องการมีลูกอีกแล้ว หากคุณกำลังคิดที่จะมีลูกแล้วล่ะก็วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะกับคุณผู้ชายเท่าไหร่นัก การผ่าตัดจะปิดกั้นท่อที่นำอสุจิออกจากอัณฑะหลักการผ่าตัดน้ำอสุจิจะไม่มีอสุจิอยู่ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการล้างอสุจิออกจากระบบของคุณผู้ชายค่ะ ซึ่งคุณต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นจนกว่าการทดสอบจะแสดงให้เห็นคุณไม่มีอสุจิหลงเหลือในน้ำอสุจิต่อไป จากผลวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้หญิง 100 คนที่มีคู่นอนด้วยการทำหมันถาวรอาจมีการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 คน
2. การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่ออกฤทธิ์นาน
วิธีการคุมกำเนิดเหล่านี้จะช่วยในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในเวลาหลายปีเลยล่ะค่ะ แต่หากคุณต้องการตั้งครรภ์เมื่อไหร่ ก็สามารถหยุดใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น :
ห่วงอนามัยทองแดง (IUD หรือ IUS)
ซึ่งเป็นห่วงอนามัยที่ทำมาจากทองแดง เป็นรูปตัว T โดยวิธีนี้จะนำห่วงทองแดงนี้ใส่เข้าไปในมดลูกซึ่งทำได้โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ ซึ่งห่วงอนามัยนี้จะป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปถึงไข่ จึงป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิในมดลุกได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าห่วงอนามัยตัวนี้จะหยุดการสร้างไข่หรือตกไข่ในแต่ละเดือนค่ะ ที่สำคัญห่วงอนามัยทองแดงตัวนี้สามารถใช้งานได้นานถึง 10 ปีเลยทีเดียว
หลังจากนำห่วงอนามัยออกแล้ว จะสามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งผลวิจัยชองประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้ มีน้อยกว่า 1 คนที่อาจตั้งครรภ์ค่ะ แต่ผลข้างเคียงที่สามารถพบได้ เช่น เกิดตะคริว การตั้งครรภ์นอกมดลูก โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ หรือห่วงอนามัยทองแดงถูกขับออกมาเองในผู้หญิงบางคน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แต่อย่างใดค่ะ
ห่วงอนามัยชนิดหลั่งสารโปรเจสติน
ตัวห่วงอนามัยชนิดนี้จะเป็นอุปกรณ์รูปตัว T ที่มีโปรเจสตินใส่เข้าไปในมดลูกซึ่งต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ห่วงอนามัยชนิดหลั่งสารโปรเจสตินนี้จะทำให้มูกที่ปากมดลูกหนาขึ้น ซึ่งนั่นก็จะทำให้อสุจิไปที่ไข่ได้ยากขึ้น และยังทำให้เยื่อบุมดลูกบางลงด้วย ห่วงอนามัยที่มีโปรเจสตินนี้สามารถใช้งานได้นานถึง 3 – 5 ปีขึ้นอยู่กับชนิดที่เลือกใช้
หลังจากที่คุณนำห่วงอนามัยออกแล้ว จะสามารถตั้งครรภ์ได้ค่ะ ซึ่งผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้ มีน้อยกว่า 1 คนที่อาจตั้งครรภ์ได้โดยผลวิจัยที่ระบุไว้ของประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ แต่บางครั้งก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เลือดออกผิดปกติ ไม่มีประจำเดือน ปวดท้องหรือกระดูกเชิงกราน บางรายอาจมีการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซีสต์รังไข่ มีการติดเชื้อรุนแรง หรือหากห่วงอนามัยหลุดหรือถูกขับออกมาแล้วล่ะก็ การป้องกันการตั้งครรภ์ก็ไม่เกิดผลใด ๆ ค่ะ
แท่งฮอร์โมนคุมกำเนิดที่ฝังใต้ผิวหนัง
แท่งฮอร์โมนคุมกำเนิดที่แพทย์ใช้ฝังใต้ผิวหนังนี้ จะมีลักษณะเป็นแท่งไม้ขีดขนาดบางที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน แล้วนำไปใส่ใต้ผิวหนังที่ด้านในของต้นแขน ตัวนี้จะหยุดรังไข่ไม่ให้ปล่อยไข่ หรือ พูดง่าย ๆ คือ คุณผู้หญิงจะไม่มีการตกไข่นั่นเองค่ะ ซึ่งจะทำให้มูกของปากมดลูกหนาขึ้นและป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปที่ไข่ สามารถใช้งานได้นานถึง 3 ปี ผลวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาบอกมาเลยค่ะว่า วิธีนี้จะทำให้ผู้หญิงจาก 100 คน มีโอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 คน แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงมาให้กวนใจอยู่บ้าง เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการมีประจำเดือน น้ำหนักเพิ่มขึ้น อ้วนขึ้น ปวดหัว เป็นสิว บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนของการใส่และการถอดออก รวมไปถึงความเจ็บปวด มีเลือดออก แผลติดเชื้อ หรืออาจจมีการเคลื่อนย้ายของแท่งฮอร์โมนนี้ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
3 การฉีดยาคุมกำเนิด
วิธีนี้เป็นแบบฉีดทุก ๆ 3 เดือน หากคุณต้องการที่จะตั้งครรภ์ก็สามารถหยุดได้ทุกเมื่อค่ะ แพทย์จะทำการฉีดฮอร์โมนโปรเจสตินในกล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนัง การฉีดยาคุมกำเนิดชนิดนี้จะหยุดรังไข่ไม่ให้ผลิตไข่ อีกทั้งยังทำให้มูกปากมดลูกหนาขึ้นซึ่งป้องกันไม่ให้อสุจิได้เจอกับไข่เลยล่ะค่ะ ซึ่งผลวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาบอกว่าผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้ รวมถึงผู้หญิงที่ไม่ได้รับการฉีดยาคุมตามกำหนด อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ถึง 6 คนเลยล่ะ
ซึ่งแน่นอนว่าการฉีดยาคุมกำเนิดนี้ก็ส่งผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น การสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก เลือดออกผิดปกติ ปวดหัว น้ำหนักเพิ่มขึ้น อ้วนขึ้น มีความกังวลใจ รู้สึกเวียนหัว และ ไม่สบายท้อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าความเสี่ยงที่จะเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจเป็นไปได้ด้วยค่ะ
4 วิธีการคุมกำเนิดชั่วคราวในระยะสั้น
การป้องกันการตั้งครรภ์โดยการหยุดกระบวนการการตกไข่หรือการปฏิสนธิของไข่นั้น อาจทำได้ด้วยวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ซึ่งหากคุณต้องการตั้งครรภ์ก็สามารถหยุดใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งการคุมกำเนิดชั่วคราวนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
การใช้ยาคุมกำเนิดสำหรับฮอร์โมนผสมผสาน
ยาคุมกำเนิด คืออะไร? หลาย ๆ คนเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว ซึ่งยาคุมกำเนิดก็คือยาเม็ดที่มีฮอร์โมนสองชนิด นั่นคือ เอสโตรเจนและโปรเจสติน ซึ่งจะทำงานร่วมกันโดยหยุดรังไข่ไม่ให้ปล่อยไข่หรือตกไข่นั่นเองค่ะ นอกจากนี้ยังทำให้มูกปากมดลูกนาขึ้น ซึ่งป้องกันไม่ให้อสุจิได้เคลื่อนไหวไปที่ไข่ ซึ่งลักษณะการกินยาคุมกำเนิดนั้น จำเป็นต้องกินทุกวันในเวลาเดียวกัน ย้ำนะคะว่าทุกวันและเวลาเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ ก็ต้องกินค่ะ
หากคุณลืมกันยาแม้แต่วันเดียว คุณอาจจะต้องพึ่งการคุมกำเนิดแบบอื่น เข้ามาช่วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น มีผู้หญิงหลาย ๆ คน ที่ได้รับผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิด ไม่ว่าจะรู้สึกปวดหัว คลื่นไส้ เต้านมไวต่อสิ่งเร้า เป็นต้น ซึ่งผู้หญิงจาก 100 คนที่ใช้วิธีนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปี มีโอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 9 คน จากผลวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา
การใช้ยาคุมกำเนิดสำหรับฮอร์โมนเดี่ยว
เป็นยาเม็ดที่มีฮอร์โมนเพียงตัวเดียวนั่นก็คือ โปรเจสติน ซึ่งยาคุมกำเนิดแบบนี้จะทำให้มูกปากมดลูกหนาขึ้นซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้อสุจิไปเจอกับไข่นั่นเองค่ะ และบ่อยครั้งที่รังไข่ก็จะหยุดการตกไข่ ซึ่งคุณความรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าคุณจะมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ก็ตาม หากคุณทานยาช้าไปหลายชั่วโมง ลืมทานยาอย่างน้อยหนึ่งเม็ด หรือ เริ่มรับประทานช้าเกินไป ก็แนะนำว่าต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย และยาฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้มาตลอดระยะเวลา 1 ปี มีโอกาสการตั้งครรภ์ประมาณ 9 คน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยาคุมกำเนิดประเภทนี้ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น เลือดออกผิดปกติ คลื่นไส้ ปวดหัว เต้านมไวต่อสิ่งเร้า เป็นต้นค่ะ
แผ่นแปะคุมกำเนิดบนผิวหนัง
ใช่แล้วค่ะ มีวิธีการคุมกำเนิดโดยการใช้แผ่นแปะลงบนผิวหนังที่คุณเองสามารถ แปะได้ที่หน้าท้องส่วนล่าง ก้น ต้นขา หรือหลังส่วนบนก็ได้ ตัวแผ่นแปะนี้จะมีฮอร์โมนอยู่สองชนิด นั่นก็คือ เอสโตรเจนและโปรเจสตินที่จะหยุดรังไข่ไม่ให้ปล่อยไข่หรือตกไข่ นอกจากนี้ยังทำให้มูกปากมดลูกหนาขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้อสุจิไปเจอกับไข่ ซึ่งคุณจะต้องใส่แผ่นแปะใหม่และถอดแผ่นแปะเก่าสัปดาห์ละครั้งเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ หรือรวมเบ็ดเสร็จ 21 วัน และไม่ใช้แผ่นแปะในช่วงสัปดาห์ที่สี่ เพราะประจำเดือนของคุณจะเริ่มมาในช่วงสัปดาห์ที่ปราศจากแผ่น
แต่หากแผ่นแปะหลวมหรือหลุดออก คุณต้องใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นเข้ามาช่วย เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาฆ่าเชื้ออสุจิ ซึ่งในผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้มาตลอดเวลา 1 ปี มีโอกาสการตั้งครรภ์ประมาณ 9 คน อีกทั้งยังต้องระวังในเรื่องผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดหัว ระคายเคืองผิว และเต้านมไวต่อสิ่งเร้าด้วย
5. การคุมกำเนิดโดยใช้สิ่งกีดขวาง
ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย
วิธีการคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย อาจเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายสำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ การใช้ถุงยางอนามัยควรสวมใส่ไปบนอวัยวะเพศที่แข็งตัวก่อนมีเพศสัมพันธ์ และดึงออกก่อนที่อวัยวะเพศจะหดตัวลง และควรจับถุงยางอนามัยไว้กับฐานของอวัยวะเพศก่อนดึงออก ที่สำคัญคือ ควรใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งไปเลยนะคะ ซึ่งโอกาสการตั้งครรภ์มีประมาณ 18 คน จากผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีนี้มาตลอดระยะเวลา 1 ปี
ซึ่งอ้างอิงมาจากผลวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกา บางคนอาจเกิดอาการระคายเคือง หรือมีอาการแพ้ เนื่องจากคุณอาจจะแพ้น้ำยาง ซึ่งคุณสามารถลองเปลี่ยนมาใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากโพลียูรีเทนดูค่ะ นอกจากนี้การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
รีวิว & แนะนำสินค้าและโปรโมชั่น